ผู้เขียน จิณณรักษ์ เจตน์รังสรรค์ CFP®
ธุรกิจเพื่อสุขภาพที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ และคุณภาพของบริการเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเงินที่ถูกต้องจนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ต้องการได้ ซึ่งนอกจากเรื่องของต้นทุนธุรกิจทั้งหมดแล้ว การวางแผนภาษีอย่างเข้าใจก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการบริหารจัดการเงินที่เจ้าของธุรกิจต้องใส่ใจ สำหรับในวันนี้ หากคุณหมอคนไหนตั้งใจจะเปิดคลินิก แต่ยังไม่รู้จะวางแผนภาษีอย่างไรให้ถูกต้อง เราจะพาไปรู้จักกับ 4 เช็กลิสต์ที่จะทำให้การจัดการเรื่องภาษีเป็นเรื่องง่ายกัน
เมื่อพูดถึงการเปิดธุรกิจสุขภาพ นอกเหนือจากทำเล อุปกรณ์ และบุคลากรในฝ่ายต่าง ๆ แล้ว เจ้าของธุรกิจยังต้องยื่นหนังสือขออนุญาตเปิดเป็น ‘สถานพยาบาล’ กับสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขด้วย
โดยการพิจารณายื่นเปิดเป็นสถานพยาบาลที่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 จะส่งผลต่อการวางแผนภาษีในอนาคต ซึ่งจะสามารถพิจารณาได้ 2 กรณี ประกอบไปด้วย
ตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ให้ความหมายของ ‘สถานพยาบาล’ ไว้ว่า เป็นสถานที่รวมตลอดถึงยานพาหนะซึ่งจัดไว้เพื่อการประกอบโรคศิลปะตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะการประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม การประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ หรือการประกอบวิชาชีพทันตกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพทันตกรรม ทั้งนี้ โดยกระทำเป็นปกติธุระ ไม่ว่าจะได้รับประโยชน์ตอบแทนหรือไม่ แต่ไม่รวมถึงสถานที่ขายยาตามกฎหมายว่าด้วยยา ซึ่งประกอบธุรกิจการขายยาโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ การเปิดสถานพยาบาลยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไขในการขออนุญาตที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะประกอบไปด้วย
รู้หรือไม่? ถึงจะเป็นธุรกิจสุขภาพเหมือนกัน แต่ธุรกิจขายอาหารเสริม สปา นวด รวมถึงฟิตเนสต่าง ๆ นั้น จะไม่ถือว่าเป็นสถานพยาบาล โดยรายได้จากธุรกิจจะถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) และจะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงทำให้มีวิธีวางแผนภาษีที่แตกต่างจากสถานพยาบาลนั่นเอง |
ไม่เพียงแต่จะต้องพิจารณาการขออนุญาตประกอบกิจการเป็นสถานพยาบาลเท่านั้น แต่การวางแผนภาษีสำหรับธุรกิจสุขภาพยังต้องพิจารณาถึงเงินได้ของแพทย์ผู้เป็นเจ้าของกิจการด้วยเช่นกัน เพราะการพิจารณาเงินได้ในส่วนนี้จะช่วยทำให้สามารถวางแผนภาษีในส่วนของการหักค่าใช้จ่ายและการลดหย่อนภาษีได้อย่างถูกต้อง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เงินได้ตามกฎหมายนั้นจะมีด้วยกัน 8 ประเภท แต่เงินของแพทย์จะมีด้วยกัน 4 ประเภท ซึ่งจะประกอบไปด้วย
รู้หรือไม่? คุณหมอหลายคนอาจสงสัยว่า “การขายยา” ในคลินิก รวมไปถึง “ยาเกี่ยวกับการศัลยกรรม” อย่างโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ สารต่าง ๆ และอาหารเสริมเพื่อการศัลยกรรมความงาม จะมีวิธีวางแผนภาษีในส่วนนี้อย่างไร? Money Adwise ขอตอบว่า หากคุณหมอมีใบอนุญาตขึ้นเป็นสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง การขายยาเกี่ยวกับการศัลยกรรมใบหน้าจะถือเป็นรายได้จากสถานพยาบาล และได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81 (1) แห่งประมวลรัษฎากร แต่หากทางสถานพยาบาลมีการจำหน่ายยาเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีแพทย์ดูแลให้คำแนะนำ รายได้ในส่วนนี้จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 (1) |
คุณหมอหลายคนอาจเข้าใจว่า การมีใบอนุญาตการประกอบกิจการสถานพยาบาลนั้นเพียงพอต่อการเปิดคลินิกแล้ว แต่อย่างไรก็ดี การเปิดคลินิกเองก็มาพร้อมกับเงินทุนทั้งในเรื่องค่าเช่า ค่าอุปกรณ์ รวมถึงเครื่องมือพิเศษต่าง ๆ มากมาย ด้วยเหตุนี้ คุณหมอหลายคนอาจเลือกที่จะเปิดคลินิกร่วมกับแพทย์คนอื่น ๆ หรือจดทะเบียนการเปิดสถานพยาบาลในนามของบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแทน ซึ่งการเลือกประเภทในการประกอบกิจการนี้จะส่งผลต่อการวางแผนภาษีในอนาคต ดังนี้
เมื่อเปิดคลินิกเป็นที่เรียบร้อยและถึงคราวที่ต้องเสียภาษี Money Adwise ขอแนะนำให้คุณหมอทุกคนวางแผนภาษีเบื้องต้นด้วยตัวเองตาม 3 ขั้นตอน ดังนี้
จากความรู้เรื่องเงินได้ที่อธิบายไปข้างต้น คุณหมอจะสามารถวางแผนภาษีได้ ไม่ว่าจะเป็นการหักค่าใช้จ่าย หรือนำเงินส่วนที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามรายการมาวางแผน แต่อย่างไรก็ตาม เงินได้ประเภทที่ 1 และ 2 สามารถหักค่าใช้จ่ายรวมกันได้สูงสุด 100,000 บาท และหากลองสังเกตเงินได้ประเภทที่ 6 และ 8 ดี ๆ ก็จะพบว่า คุณหมอสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง หรือ แบบเหมาร้อยละ 60 ได้ นั่นหมายความว่า หากคุณหมอสามารถเปลี่ยนเงินได้ประเภทที่ 1 หรือ 2 มาเป็นประเภทที่ 6 หรือ 8 ได้ คุณหมอก็จะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้เพิ่มมากขึ้น
เช่น หากเพิ่มข้อตกลงในสัญญาจ้างงานกับโรงพยาบาลที่ไม่ได้ประจำว่า “เพื่อประกอบโรคศิลป์เป็นการส่วนตัว” จะทำให้เงินได้ประเภทที่ 1 อยู่ในมาตรา 40(6) ซึ่งจะเสียภาษีแบบเดียวกับเงินได้ประเภทที่ 6 เป็นต้น
ในขั้นตอนนี้ คุณหมอจะต้องเลือกเสียภาษีให้ตรงกับประเภทในการประกอบกิจการ แต่นอกจากจะเสียภาษีแบบปกติแล้ว Money Adwise ยังอยากขอให้คุณหมอลองวางแผนภาษีเพิ่มโดยการพิจารณาผลขาดทุนสะสม 5 ปีร่วมด้วย เพราะผลประกอบการที่ขาดทุนสะสม 5 ปีสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ แถมยังเป็นวิธีประหยัดภาษีที่ถูกกฎหมายที่หลายคนมักมองข้ามอีกด้วย
และขั้นตอนสุดท้าย คุณหมอก็สามารถทำรายการลดหย่อนภาษีตามรายการอื่น ๆ ที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีส่วนบุคคลได้ เช่น ประกัน กองทุน การลงทุนอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี การวางโครงสร้างภาษีสำหรับธุรกิจนั้นยังมีเรื่องที่ต้องพิจารณาอีกหลายปัจจัย อาทิ การวางแผนภาษีจากการวางโครงสร้างเงินทุน การใช้สิทธิเครดิตทางภาษีสำหรับธุรกิจ รวมไปถึงวิธีการทำเอกสารทางการเงินอื่น ๆ ที่มีเนื้อหาซับซ้อนและรายละเอียดยิบย่อยมากมาย
จะดีกว่าไหม? หากคุณจะมีเวลาเพื่อไปบริหารธุรกิจและดูแลคนไข้ได้มากขึ้น โดยไม่ต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องภาษีและการบริหารจัดการเงิน ที่ Money Adwise เรามาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญทางการเงินที่มีใบอนุญาต CERTIFIED FINANCIAL PLANNER หรือ CFP® ที่ให้บริการวางแผนภาษีอย่างเข้าใจ และรองรับทุกเงื่อนไขทางการเงินของบุคลากรทางการแพทย์อย่างตรงจุด นัดวางแผนภาษีครั้งแรกฟรี! ที่ Line: @MoneyAdwise (มี @ ด้วย)