คำถามยอดฮิตที่นักลงทุนมือใหม่มักสงสัยกันเสมอคือ “ควรลงทุนกองทุนตอนที่ตลาดบวก (Bull Market) หรือเมื่อตลาดลบ (Bear Market) ดี ?” หรือหลายคนอาจเคยได้ยินคำพูดติดปากที่ว่า "ซื้อตอนเลือดสาด ขายตอนเลือดฉีด" แต่การตัดสินใจลงทุนในความเป็นจริงซับซ้อนกว่านั้นมาก วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจนี้กันแบบเข้าใจง่าย พร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียว่าการลงทุนกองทุนตอนบวกหรือลบ จังหวะไหนคือช่วงเวลาที่ควรลงทุนกันแน่
เข้าลงทุนตอนตลาดขาลง: โอกาสทองหรือความเสี่ยงซ้อน ?
การลงทุนในช่วงตลาดขาลงอาจฟังดูขัดกับสัญชาตญาณ แต่ก็เป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนมืออาชีพหลายคนเลือกใช้ เพราะตลาดขาลงมักมอบโอกาสที่หาได้ยากในช่วงตลาดขาขึ้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนในช่วงนี้ไม่ได้มีแค่ข้อดีเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง
ข้อดีของการลงทุนตอนตลาดขาลง
- ได้ราคาที่ถูกกว่า
นักลงทุนหลายคนมักบอกว่า ช่วงตลาดหมีคือเวลาที่ดีที่สุดในการลงทุน เพราะการลงทุนช่วงนี้เปรียบเสมือนการช็อปปิงช่วงลดราคา โดยสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้จำนวนมากขึ้นด้วยเงินลงทุนเท่าเดิม - โอกาสทำกำไรสูง
เมื่อตลาดพลิกกลับจากขาลงสู่ขาขึ้น (Recovery Phase) นักลงทุนที่ซื้อในช่วงขาลงมักจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าผู้ที่เข้าลงทุนในช่วงตลาดขาขึ้น - ต้นทุนเฉลี่ยที่ดี
หากใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Averaging) การซื้ออย่างสม่ำเสมอในช่วงที่ตลาดตกจะช่วยลดต้นทุนเฉลี่ยลงและเพิ่มหน่วยลงทุนในพอร์ต
ความเสี่ยงของการลงทุนตอนตลาดขาลง
- ยากที่จะคาดเดาจุดต่ำสุด
แม้แต่นักลงทุนที่มีประสบการณ์มากที่สุดก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าตลาดจะลงไปถึงจุดต่ำสุดเมื่อใด การลงทุนผิดจังหวะอาจนำไปสู่การขาดทุนในระยะสั้น - แรงกดดันทางจิตวิทยา
การเห็นพอร์ตลงทุนติดลบอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดความเครียด ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต และสุดท้ายก็อาจทนความกดดันไม่ไหวจนต้องเทขายเพื่อ Cut Loss - ความเสี่ยงจากปัจจัยพื้นฐาน
หากตลาดขาลงเกิดจากปัญหาพื้นฐาน เช่น วิกฤตเศรษฐกิจหรือการล้มละลายของบริษัทหลักในตลาด ความเสี่ยงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนในระยะยาว
เข้าลงทุนตอนตลาดขาขึ้น: ปลอดภัยจริงหรือ ?
การจะหาคำตอบว่า ควรลงทุนกองทุนตอนบวกหรือลบดีกว่ากัน จำเป็นต้องมองอย่างรอบด้าน ดังนั้น นอกจากข้อดี-ข้อเสียของการลงทุนในช่วงตลาดหมีแล้ว ลองมาดูในส่วนของตลาดกระทิงกันบ้าง เพราะถึงแม้ว่า เวลานี้จะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่จะรู้สึกมั่นใจและเต็มไปด้วยความคาดหวังในอนาคต ราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องดูเหมือนเป็นโอกาสทองสำหรับการลงทุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนเสมอไป เพราะก็มีข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน
ข้อดีของการลงทุนตอนตลาดขาขึ้น
- ความมั่นใจสูงขึ้น
การที่ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับตลาด - โมเมนตัมบวก
ในช่วงตลาดขาขึ้น ราคามักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่ลงทุนในช่วงนี้มักเห็นผลตอบแทนในเวลาอันสั้น - ความเสี่ยงด้านจิตวิทยาน้อยกว่า
การลงทุนในตลาดที่มีแนวโน้มบวกช่วยลดแรงกดดันจากความกังวลเรื่องขาดทุน เพราะราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่าลดลง
ข้อควรระวังของการลงทุนตอนตลาดขาขึ้น
- ราคาแพงกว่า
ตลาดกระทิงไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนเสมอไป เพราะการซื้อสินทรัพย์ในช่วงเวลานี้มักมีต้นทุนสูงกว่า ซึ่งอาจลดโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว - โอกาสทำกำไรอาจจำกัด
หากเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดอยู่ใกล้จุดสูงสุด การเพิ่มขึ้นของราคาหลังจากนั้นอาจจำกัดและเสี่ยงต่อการลดลงในอนาคต - FOMO Risk (Fear of Missing Out)
ความกลัวที่จะพลาดโอกาสอาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาด เช่น การเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ราคาสูงเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริง
สรุปแล้ว เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนคือช่วงไหน ?
สำหรับคำถามที่ว่า ควรลงทุนกองทุนตอนบวกหรือลบดีกว่ากัน จากข้อมูลข้างต้น คำตอบคือ ไม่มีจังหวะที่ ‘ดีที่สุด’ สำหรับทุกคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและสถานะการเงินของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม แนวทางพื้นฐานที่สามารถนำไปปรับใช้กับการลงทุนมีดังนี้
- ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะสั้น การลงทุนในช่วงตลาดบวกอาจให้ผลตอบแทนเร็วกว่า เพราะราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะใกล้
- สำหรับนักลงทุนระยะยาว ตลาดลบอาจเป็นโอกาสดีในการซื้อสินทรัพย์ราคาถูกเพื่อสร้างผลตอบแทนในอนาคต
การประเมินสภาวะตลาดร่วมกับการวางแผนที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สามารถหาเวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนสำหรับตนเอง
แนวทางการลงทุนแนะนำ
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนกองทุนตอนบวกหรือลบ สิ่งสำคัญคือการมีกลยุทธ์การลงทุนที่ชัดเจนและสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน โดยการวางแผนอย่างรอบคอบจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้มากขึ้น โดยมีแนวทางแนะนำดังนี้
- วางแผนระยะยาว
การมีเป้าหมายชัดเจนจะช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจที่ขาดการวางแผน - ทยอยลงทุนสม่ำเสมอ
ใช้กลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging (DCA) เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด โดยการซื้อหน่วยลงทุนในจำนวนเท่า ๆ กันทุกเดือน - กระจายความเสี่ยง
การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภทช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด - มีเงินสำรองเพียงพอ
การมีเงินสดสำรองช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะไม่ต้องขายสินทรัพย์ในราคาต่ำเพราะขาดสภาพคล่อง โดยควรมีเงินก้อนสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือน
นอกจากกลยุทธ์ลงทุนที่ดีแล้ว การมีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญมาเป็นผู้ช่วยในการวางแผนปรับพอร์ตได้อย่างตรงจุด ก็ย่อมช่วยให้การลงทุนในหลักทรัพย์ของคุณมีความเสี่ยงน้อยลง ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น สำหรับใครที่ยังลังเลว่าจะเริ่มลงทุนยังไงดี ขอแนะนำนักวางแผนทางการเงินที่ได้รับการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ CFP® จาก Money Adwise พร้อมช่วยคุณวางแผนการเงินและการลงทุนที่มีประสิทธิภาพเพื่อทุกเป้าหมายที่เป็นจริง ตอบโจทย์ทั้งการจัดพอร์ตลงทุนปันผล จัดพอร์ตกองทุนรวม และทุกสินทรัพย์ที่ต้องการ สามารถนัดปรึกษาครั้งแรกฟรี ลงทะเบียนในหน้าเว็บไซต์ได้เลย
ข้อมูลอ้างอิง