แม้จะเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แต่ทุกคนสามารถ ‘วางแผนประหยัดภาษี’ ที่ถูกต้องตามกฎหมายและนำเงินไปต่อยอดในเป้าหมายที่ต้องการได้ แต่จะเริ่มต้นบริหารจัดการและวางแผนภาษีอย่างไรให้มีประสิทธิภาพและถูกกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลธรรมดาและมนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีเวลาในการวางแผนภาษีมากนัก วันนี้ผู้เชี่ยวชาญรับปรึกษาการวางแผนภาษีจาก Money Adwise มีเทคนิคการวางแผนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามาฝากกัน
การวางแผนภาษี คือ การเตรียมตัวที่จะเสียภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งจะรวมไปถึงการรับสิทธิประโยชน์เพื่อนำมาลดหย่อนภาษี ตลอดจนการวางแผนคำนวณ ‘ค่าใช้จ่าย’ และ ‘เงินได้’ เพื่อลดภาระภาษีอย่างถูกกฎหมาย ไม่เสี่ยงต่อการโดนเบี้ยปรับ หรือ โดนคิดภาษีย้อนหลัง อีกทั้งยังสามารถช่วยให้มีเงินเหลือเพื่อไปต่อยอดในเป้าหมายที่ต้องการอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนต่อ หรือ จะฝากเป็นเงินเก็บในธนาคารก็ตาม
โครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาของเมืองไทยจะประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ ผู้เสียภาษี ฐานภาษี และอัตราภาษี ซึ่งแต่ละปัจจัยจะมีรายละเอียด ดังนี้
ขั้นเงินได้สุทธิตั้งแต่ | เงินได้สุทธิจำนวนสูงสุดของขั้น | อัตราภาษี (%) | ภาษีสูงสุดในแต่ละขั้นเงินได้ | ภาษีสะสมสูงสุดของขั้น |
---|---|---|---|---|
0 - 150,000 | 150,000 | 5 | ยกเว้น* | 0 |
เกิน 150,000 - 300,000 | 150,000 | 5 | 7,500 | 7,500 |
เกิน 300,000 - 500,000 | 200,000 | 10 | 20,000 | 27,500 |
เกิน 500,000 - 750,000 | 250,000 | 15 | 37,500 | 65,000 |
เกิน 750,000 - 1,000,000 | 250,000 | 20 | 50,000 | 115,000 |
เกิน 1,000,000 - 2,000,000 | 1,000,000 | 25 | 250,000 | 365,000 |
เกิน 2,000,000 - 5,000,000 | 3,000,000 | 30 | 900,000 | 1,265,000 |
เกิน 5,000,000 บาท ขึ้นไป | 35 |
อ้างอิงข้อมูลจากกรมสรรพากร
จากระบบการเสียภาษีของไทยเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า ‘เงินได้’ จะเป็นส่วนสำคัญที่กำหนด ‘ฐานภาษี’ และ ‘ขั้นอัตราการเสียภาษี’ ที่นำมาคำนวณ
อย่างไรก็ดี มนุษย์เงินเดือนหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องเสียภาษีครั้งแรกมักเข้าใจว่า ภาษีที่ต้องจ่ายในแต่ละปีเป็นการนำรายได้ทั้งหมดมารวมกัน จากนั้นจึงคูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนดตามขั้นเงินได้ ซึ่งบางคนอาจรู้สึกตกใจที่คำนวณภาษีที่ต้องเสียได้สูงถึงหลักแสน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ‘เงินได้สุทธิ’ ที่นำมาคำนวณภาษีนั้นจะมีการหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนภาษีออกก่อน ซึ่งภาษีที่ต้องจ่ายจะสามารถคำนวณได้ตามสูตร ดังนี้
ภาษีที่ต้องจ่าย = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี
โดยกำหนดให้ เงินได้สุทธิ = เงินได้ทั้งหมด - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อนภาษี
จากสูตรการคำนวณข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่า ‘เงินได้สุทธิ’ นั้นส่งผลต่อ ‘อัตราภาษีที่นำมาคำนวณ’ และ ‘จำนวนภาษีที่ต้องจ่าย’ ดังนั้น หากทำให้ ‘เงินได้สุทธิน้อยลง’ จากการหักลบ ‘ค่าใช้จ่าย’ และ ‘ค่าลดหย่อนภาษี’ ก็จะทำให้ประหยัดภาษีได้มากขึ้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการวางแผนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ถูกต้อง ลองมาทำความเข้าใจถึง 3 องค์ประกอบหลักที่นำมาคำนวณภาษี ดังนี้
ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ค่าใช้จ่ายทางภาษีตามที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นต้นทุนในการสร้างรายได้ที่รัฐบาลยอมให้นำมาหักกับเงินได้ แต่จะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
อ้างอิงจากกรมสรรพากร พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 629) พ.ศ. 2560 กำหนดให้แบ่งเงินได้ออกเป็น 8 ประเภท ดังนี้
ประเภทของเงินได้ | หักค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่ |
---|---|
1. รายได้จากการจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือน โบนัส | หักได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาท หากมีเงินได้ทั้งประเภทที่ 1 และ 2 จะต้องนำรายได้ทั้ง 2 ประเภทมารวมกัน และหักได้ไม่เกิน 100,000 บาท |
2. รายได้จากหน้าที่ หรือ ตำแหน่งงานที่ทำ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า งานพาร์ทไทม์ งานฟรีแลนซ์ที่มีการหัก 3% ณ ที่จ่าย | |
3. รายได้จากทรัพย์สินทางปัญญา | หักได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาท หรือ จ่ายตามจริง |
4. รายได้จากดอกผล ค่าตอบแทน เช่น ดอกเบี้ย กำไรจากการลงทุน* เงินปันผล เครดิตภาษีเงินปันผล | หักค่าใช้จ่ายไม่ได้ |
5. รายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน การผิดสัญญาเช่าซื้อ การผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อน
| ตามจริงหรืออัตราเหมา
|
6. รายได้จากวิชาชีพอิสระ เช่น
| หักตามจริงตามวิชาชีพ หรือ หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา
|
7. รายได้จากการรับเหมาพร้อมอุปกรณ์และสัมภาระ | หักตามจริงตามประเภทของทรัพย์สิน หรือ หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% |
7. รายได้จากการประกอบธุรกิจ หรือ นอกเหนือจากรายได้ประเภท 1 - 7 | หักตามจริงตามประเภทของทรัพย์สิน หรือ หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 40% หรือ 60% |
อ้างอิงข้อมูลจากกรมสรรพากร
หลายคนอาจเข้าใจว่า การยิ่งหารายได้หลายช่องทาง ยิ่งทำให้มีโอกาสได้หักค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้จะหักค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การยิ่งหารายได้หลายช่องทางก็เท่ากับการมีเงินได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสุดท้ายเมื่อนำมาคำนวณแล้วก็อาจเสียภาษีมากขึ้นได้เช่นกัน
ดังนั้น นอกจากค่าใช้จ่ายที่นำมาหักเงินได้แล้ว ‘ค่าลดหย่อนภาษี’ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาหักเงินได้และช่วยประหยัดภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน โดยค่าลดหย่อนภาษีจะประกอบไปด้วย 5 กลุ่มหลัก ดังนี้
ค่าลดหย่อนภาษี | ลดหย่อนได้เท่าไหร่บ้าง? |
---|---|
1. ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว |
|
2. ค่าลดหย่อนการออมและการลงทุน **รวมกับสิทธิลดหย่อนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท** |
|
3. ค่าลดหย่อนจากเบี้ยประกัน |
|
4. ค่าลดหย่อนเงินบริจาค |
|
5. ค่าลดหย่อนตามนโยบายรัฐบาล | เช่น โครงการช้อปดีมีคืน ดอกเบี้ยบ้าน และโครงการบ้านหลังแรก |
อ้างอิงข้อมูลจาก กรมสรรพากร
รู้หรือไม่? หากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนภาษีแล้ว แต่เงินได้สุทธิยังอยู่ในระดับที่สูงอยู่ ทุกคนยังสามารถบริหารจัดการเงินได้ เพื่อวางแผนประหยัดภาษีได้เช่นกัน ซึ่งสำหรับบุคคลทั่วไปจะสามารถทำได้ 3 วิธี คือ
การเปลี่ยนประเภทเงินได้จากประเภทที่ 1 และ 2 มาเป็นเงินได้ประเภท 3 5 6 7 และ 8 เพื่อปรับเป็นการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา เช่น เปลี่ยนจากการทำงานเพื่อรับเงินเดือนมาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ หรือ เปิดธุรกิจลูกภายใต้บริษัทที่เคยทำงานอยู่เดิม
การจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือ คณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล เช่น นาย A ทำธุรกิจกับนาย B ซึ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนทั้งคู่ จากนั้นจัดตั้งเป็นธุรกิจที่ไม่ใช่นิติบุคคลขึ้นมา เท่ากับว่า นาย A และ นาย B จะเสียภาษีกับเงินเดือนตัวเองเท่านั้น ส่วนรายได้จากธุรกิจจะเสียภาษีในนามคณะบุคคล
กระจายรับรายได้หลายงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแบ่งรับเงินหลายปีภาษี อาจทำให้มีการคำนวณเงินได้สุทธิน้อยลง ส่งผลให้มีการคิดอัตราภาษีที่น้อยลงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตกลงกันของนายจ้างและลูกจ้าง
ทั้งหมดที่นำมาฝากนี้เป็นเพียงวิธีบริหารจัดการภาษีเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งการบริหารภาษีของบุคคลอาจมีรายละเอียดและเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป สำหรับใครที่ต้องการวางแผนประหยัดภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อนำเงินไปต่อยอดได้ในด้านอื่น บริษัทให้คำปรึกษาการลดหย่อนภาษี Money Adwise มาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญรับปรึกษาการวางแผนภาษีที่ถูกต้อง มั่นใจด้วยประสบการณ์มากกว่า 1,000+ เคส นัดปรึกษาครั้งแรกฟรี