ผู้เขียน รัฐพล วชิรเมฆากุล CFP®
การสร้างผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพในการลงทุนต่างประเทศ ไม่เพียงแต่จะต้องพิจารณาถึงเศรษฐกิจ การเมือง และข่าวสารโลกเท่านั้น แต่นักลงทุนยังต้องพิจารณา “Exchange Rate” หรือ “อัตราแลกเปลี่ยน” ระหว่างค่าเงินแต่ละประเทศร่วมด้วย เนื่องจากค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อต้นทุนในการลงทุน และอาจทำให้นักลงทุนไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตั้งใจเอาไว้
สำหรับใครที่สนใจอยากลงทุนในตลาดต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือจะเป็นการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ หากต้องการสร้างผลตอบแทนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลองมาทำความรู้จักกับทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับเรื่อง Exchange Rate ไปพร้อม ๆ กับที่ปรึกษาด้านการลงทุนกองทุนต่างประเทศจาก Money Adwise กัน
ก่อนที่จะไปวางแผนรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน นักลงทุนควรทำความเข้าใจก่อนว่า อัตราแลกเปลี่ยน หรือ Exchange Rate นี้คืออะไร และสามารถส่งผลกับการลงทุนได้อย่างไรบ้าง
โดยอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างราคาของเงิน 2 สกุลที่นำมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 มุมมองจากทั้งเงินสกุลท้องถิ่นและเงินสกุลที่ต้องการจะเปรียบเทียบ
เช่น ตามอัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 19 ธันวาคม 2565 เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐมีค่าเท่ากับเงิน 34.85 ของเงินบาทไทย และในอีกมุมหนึ่ง เงิน 1 บาทไทยจะมีค่าเท่ากับ 0.029 ดอลลาร์สหรัฐ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เงิน 34.85 บาทไทยสามารถซื้อเงินได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่เงิน 1 บาทไทยสามารถซื้อได้เพียง 0.029 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ นักลงทุนหลายคนคงเริ่มสงสัยว่า ทำไมค่าเงินของแต่ละประเทศถึงมีมูลค่าไม่เท่ากัน มีเหตุผลใดที่ทำให้ค่าเงินของประเทศหนึ่งสูงกว่าอีกประเทศหรือไม่ คำตอบ คือ เศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือของแต่ละประเทศนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดมูลค่าของค่าเงิน ซึ่งในปัจจุบัน ค่าเงินที่นักลงทุนให้ความน่าเชื่อถือสูงสุด จะประกอบไปด้วย ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษ (GBP) และยูโร (EUR)
จากความสัมพันธ์ของค่าเงินข้างต้น นักลงทุนที่สนใจในตลาดต่างประเทศบางส่วนอาจมองว่า การเลือกลงทุนในสกุลเงินที่มีมูลค่าน้อยอย่างเงินบาทไทยนั้นอาจไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ต้องการ และเสียเปรียบในมุมมองของตลาดโลกได้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะมีมูลค่ามากน้อยแค่ไหน ค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยนนั้นก็เป็นปัจจัยที่สามารถให้ทั้งข้อดีและข้อเสียในการลงทุนได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะมองในมุมไหน หรืออยู่ในสถานการณ์ใด โดยนักลงทุนสามารถพิจารณาได้จาก 2 มุมมองของค่าเงิน ดังนี้
นอกจากจะส่งผลกระทบในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นราคาของสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องนำเข้า การดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ รวมไปกำลังซื้อของประชาชนแล้ว ค่าเงินแข็งหรืออ่อนค่านี้ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนเช่นกัน ซึ่งสามารถพิจารณาได้ตามกรณีต่าง ๆ ดังนี้
สถานการณ์ค่าเงิน | ต้นทุนการลงทุน | ผลตอบแทน |
---|---|---|
ค่าเงินลงทุนต้นทางอ่อนค่า | ต้นทุนการลงทุนสูงขึ้น เช่น หากเปรียบเทียบการนำเงิน 30 ล้านบาทไทยไปแลกเป็น 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อไปลงทุนต่อ กับ นำเงิน 34.85 ล้านบาทไปแลกเป็นเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อลงทุน จะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทที่อ่อนนั้นทำให้ต้นทุนการลงทุนเพิ่มขึ้นมาถึง 4.85 ล้านบาท | ผลตอบแทนเมื่อแลกคืนเป็นเงินต้นทางสูงขึ้น เช่น สมัยก่อนหากแลกเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐจะได้ถึง 30 ล้านบาทไทย แต่หากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งตัวขึ้น และ 1 ดอลลาร์สหรัฐแลกได้ 34.85 บาทไทย นักลงทุนก็จะได้ผลตอบแทน 34.85 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มมากขึ้นถึง 4.85 ล้านบาทเช่นกัน ดังนั้น หากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า นักลงทุนจะสามารถแลกผลตอบแทนสกุลเงินบาทไทยได้สูงขึ้น |
ค่าเงินลงทุนต้นทางแข็งค่า | ต้นทุนการลงทุนต่ำลง เช่น หากค่าเงินบาทแข็งตัวขึ้น สามารถแลกเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐได้โดยใช้เงินเพียง 20 บาท หากต้องการลงทุนต่างประเทศด้วยเงิน 1 ล้านดอลลาร์ก็จะใช้ต้นทุนเพียง 20 ล้านบาทเท่านั้น หากเปรียบกับสมัยที่ต้องแลกเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยใช้เงิน 30 ล้านบาทก็จะลดต้นทุนลงไปได้ถึง 10 ล้านบาทเลยทีเดียว | ผลตอบแทนเมื่อแลกคืนเป็นเงินต้นทางต่ำลง เช่น หากได้ผลตอบแทนมา 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนจะแลกคืนได้แค่ 20 ล้านบาทไทย ซึ่งหากเทียบกับสมัยที่แลกเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐได้ 30 บาทไทย นักลงทุนก็จะขาดทุนถึง 10 ล้านบาทเลยทีเดียว ดังนั้น หากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า นักลงทุนจะแลกผลตอบแทนสกุลเงินบาทไทยได้ต่ำลง |
จากทั้ง 2 กรณีข้างต้นจะเห็นได้ว่า หากนักลงทุนไทยต้องการลงทุนต่างประเทศ ก็ควรจะเลือกลงทุนในสถานการณ์ที่ “ต้นทุนการลงทุนต่ำ” และ “สร้างผลตอบแทนได้สูง” ซึ่งจากตัวอย่างข้างต้นก็คือ นักลงทุนควรเลือกลงทุนในสถานการณ์ที่ค่าเงินบาทที่ใช้ลงทุนอยู่ในสถานะแข็งค่า ทำให้ต้นทุนการลงทุนต่ำลง และ สร้างผลตอบแทนกลับมาในสถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือ ค่าเงินที่สนใจลงทุนแข็งค่า ส่งผลให้ผลตอบแทนเมื่อแลกคืนเป็นเงินบาทจะสูงขึ้นนั่นเอง
รู้หรือไม่?
หากอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินมีความผันผวนสูง นักลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้โดยการใช้ Currency Hedging ได้ แต่นักลงทุนจะต้องศึกษารายละเอียดการทำ Currency Hedging ของแต่ละสินทรัพย์ให้ดี เนื่องจากอาจมีค่าธรรมเนียม ต้นทุน รวมถึงกลยุทธ์ในการวางแผนต่อเนื่องที่แตกต่างกันได้
จะเห็นได้ว่า Exchange Rate และค่าเงินนั้นส่งผลกระทบทั้งต้นทุนในการลงทุน รวมถึงการแลกเปลี่ยนเป็นผลตอบแทนกลับคืน ดังนั้น เพื่อวางแผนบริหารความเสี่ยงการลงทุนก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดลงทุนต่างประเทศเพื่อสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ปรึกษาการลงทุนกองทุนต่างประเทศจาก Money Adwise ขอแนะนำให้นักลงทุนศึกษาและติดตามปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนก่อนวางแผนลงทุน ดังนี้
เมื่อวางแผนลงทุนต่างประเทศผ่านการพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ Exchange Rate ได้แล้ว นักลงทุนยังสามารถบริหารความเสี่ยงจากค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยนในระหว่างการลงทุนได้ โดยสามารถใช้ 2 เทคนิคการลงทุน ดังนี้
จะเห็นได้ว่า Exchange Rate และค่าเงินนั้นถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดต่างประเทศต้องพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน พอ ๆ กับการพิจารณาตัวรายละเอียดหุ้นต่างประเทศ รวมถึงข้อดีและข้อเสียของสินทรัพย์ที่สนใจ
อย่างไรก็ดี การลงทุนต่างประเทศยังมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาให้รอบด้านอีกมาก อีกทั้งยังต้องอาศัยการวางแผนการเงินเพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องของเงินลงทุนในระยะยาวอีกด้วย หากใครยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นการพิจารณาตลาดต่างประเทศและปัจจัยทั้งหมดที่เกี่ยวอย่างไรให้มีประสิทธิภาพและสร้างผลตอบแทนที่ต้องการได้ สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนต่างประเทศและนักวางแผนการเงินที่ได้รับการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ CFP® จาก Money Adwise ได้ทันที นัดปรึกษาครั้งแรกฟรี!