อีกหนึ่งการลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม คือ #LongTermHealthcare
ในยุคที่คนให้ความสนใจกับการลงทุนเพื่อให้เงินที่มีอยู่งอกเงย หลายๆคนทุ่มเทเวลา และความสามารถในการหาเงินแล้วนำเงินไปเก็บออมเน้นลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงๆ แต่พอล้มป่วยเงินเก็บที่สะสมมากลับต้องหายไปกับค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก บางคนถึงขั้นหมดตัวหรือเป็นหนี้สินจากค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิ่ว
หลายปีมานี้อัตราการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาในบ้านเราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 8.5 %และคาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 9% ลองคิดเล่นๆว่าคุณเคยจ่ายค่ารักษาพยาบาลแพงที่สุดเท่าไหร่ ในอีก 10 ปี อาจเพิ่มขึ้นอีก 10 เท่า!! เมื่อค่ารักษาพยาบาลแรงขนาดนี้หลายๆคนก็เริ่มที่จะมองหาประกันเพื่อโอนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้บริษัทประกันรับความเสี่ยงแทน
แต่สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบคือ เบี้ยประกันสุขภาพค่ารักษาพยาบาลปรับขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น ยิ่งอายุมากเบี้ยก็ยิ่งแพง ยกตัวอย่างประกันค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่ายต่อปี 2 ล้านบาทค่ายหนึ่ง ในช่วงอายุ 20 จนถึงเกษียณเบี้ยจะอยู่ประมาณ 20,000 – 50,000 แต่เมื่ออายุ 70 เบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 แสนและเพิ่มเป็น 1.9 แสนเมื่ออายุ 75 ปี ซึ่งโดยเฉลี่ยค่าเบี้ยประกันตั้งแต่อายุ 25 – 80 ปี เบี้ยประกันเพิ่มขึ้นปีละ 8.76 % จะเห็นได้ว่าในช่วงเกษียณอายุที่รายได้ลดลงเบี้ยกลับเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด หากไม่ได้เตรียมเงินมากพอสำหรับเบี้ยประกันที่สูงขึ้นแล้วต้องยกเลิกประกันที่มีไป แล้วใครจะมารับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้น การสร้าง #กองทุนสุขภาพระยะยาว จึงเป็นสิ่งจำเป็น
หลายคนอาจจะบอกว่าอายุยังน้อยแข็งแรงดีอยู่ไม่ต้องรีบทำประกันก็ได้ แต่อย่าชะล่าใจไป อีกประเด็นสำคัญที่หลายคนไม่ทราบคือ “ประกันจะไม่คุ้มครองโรคที่เคยเป็นมาก่อนการทำประกัน” สมมติว่าก่อนหน้าที่คุณจะทำประกันคุณเคยเป็นโรคกรดไหลย้อน หลังจากทำประกันหากคุณมีอาการที่เกิดจากโรคกรดไหลย้อนคุณก็จะไม่สามารถเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลได้
ดังนั้นวางแผนกองทุนสุขภาพระยะยาวเริ่มเร็วย่อมดีกว่าเพราะไม่ใช่แค่เรื่องงบประมาณแต่เป็นเรื่องความคุ้มครองด้วย อย่าปล่อยให้สายเกินแก้เพราะบางอย่างเสียไปแล้วเอากลับมาไม่ได้ #ทำประกันเร็วไป3ปีดีกว่าทำช้าไป3วัน
ข้อมูลประกอบ: Global Medical Trend Research
Article by Tubtim Money Adwise