การวางแผนประกันสุขภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยบริหารความเสี่ยงด้านค่ารักษาพยาบาลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และในปี 2568 หนึ่งในเงื่อนไขใหม่ที่ทุกคนควรทราบ เพราะส่งผลต่อการทำประกันภัยโดยตรง นั่นคือเรื่องของเงื่อนไขประกันสุขภาพในแบบ "Copayment" ที่ผู้เอาประกันภัยต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดและเตรียมพร้อมสำหรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
หากแปลความหมายตรงตัว Copayment แปลว่าการร่วมจ่าย ส่วนในระบบประกันสุขภาพนั้น Copayment คือเงื่อนไขและระบบการจ่ายค่ารักษาพยาบาลรูปแบบใหม่ ที่กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ เช่น 10%, 20% หรือ 50% ของค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด โดยบริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือ มีเป้าหมายหลักเพื่อลดอัตราการเคลมเกินความจำเป็น โดยเฉพาะในอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ส่งผลให้เบี้ยประกันสุขภาพปรับตัวสูงขึ้น ภาคธุรกิจประกันภัยและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จึงพัฒนาเงื่อนไขนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างสมดุลในการบริหารค่ารักษาพยาบาล
ยกตัวอย่างเช่น หากมีค่ารักษาพยาบาล 10,000 บาท แล้วในกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ระบุเงื่อนไข Copayment ไว้ที่ 30% แปลว่าผู้เอาประกันภัยต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล 30% เป็นจำนวนเงิน 3,000 บาท และบริษัทประกันภัยต้องชำระเงินอีก 70% เป็นจำนวนเงิน 7,000 บาทนั่นเอง
ตามข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย ระบบ Copayment จะเริ่มมีผลบังคับใช้กับกรมธรรม์ประกันสุขภาพทุกฉบับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เงื่อนไข Copayment อาจปรับเปลี่ยนได้เมื่อสถานการณ์การเคลมประกันสุขภาพดีขึ้น ส่วนผู้ที่ซื้อประกันสุขภาพที่ได้รับอนุมัติกรมธรรม์และมีผลคุ้มครองก่อนเดือนมีนาคม 2568 และมีการต่ออายุอย่างต่อเนื่อง จะไม่มีเงื่อนไข Copayment ในกรมธรรม์
เงื่อนไขการร่วมจ่ายหรือประกันสุขภาพแบบมี Copayment จะถูกนำมาใช้ในกรณีที่มีการเคลมค่ารักษาพยาบาลที่เกินเกณฑ์ที่กำหนด โดยเฉพาะในกรณีของโรคที่ไม่ซับซ้อนหรือโรคทั่วไปที่สามารถรักษาได้เอง เช่น ไข้หวัด หรือท้องเสีย เพื่อป้องกันการใช้สิทธิ์เกินความจำเป็นและควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กรณีหลัก ดังนี้
เป็นการเคลมสำหรับโรคที่ไม่รุนแรงหรือ Simple Disease เช่น ไข้หวัดใหญ่ ภูมิแพ้ กล้ามเนื้ออักเสบ ท้องเสีย ซึ่งเป็นอาการที่ไม่จำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล มีจำนวนการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และอัตราการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 200% ของเบี้ยประกันสุขภาพ ผู้เอาประกันจะต้องร่วมจ่าย 30% ในทุกค่ารักษาในปีถัดไป ซึ่งสมาคมประกันชีวิตไทย ระบุลักษณะของ Simple Disease ไว้ดังนี้
เป็นการเคลมสำหรับการเจ็บป่วยด้วยโรคทั่วไป แต่ไม่นับรวมการผ่าตัดใหญ่และโรคร้ายแรง มีจำนวนการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และอัตราการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 400% ของเบี้ยประกันสุขภาพ กรณีนี้ผู้เอาประกันจะต้องร่วมจ่าย 30% ในทุกค่ารักษาในปีถัดไปเช่นกัน
หากมีการเคลมเข้าเงื่อนไขทั้งในกรณีที่ 1 และกรณีที่ 2 ในปีถัดไป ผู้เอาประกันจะต้องร่วมจ่าย 50% ในทุกค่ารักษาที่เกิดขึ้น
เมื่อเงื่อนไขการเคลมเปลี่ยนไปตามเกณฑ์ Copayment แน่นอนว่าผู้เอาประกันภัยย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งเราสามารถแบ่งข้อดีและข้อเสียของระบบ Copayment ในประกันสุขภาพได้ ดังนี้
แม้จะมีเงื่อนไขการร่วมจ่ายในหลายกรณี แต่ก็มีโรคอีกหลายชนิดที่การเคลมจะไม่ถูกนับในเงื่อนไขประกันสุขภาพ Copayment เพื่อให้ผู้เอาประกันได้รับการดูแลที่เหมาะสมโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา ซึ่งจะประกอบด้วยโรคร้ายแรงหลายชนิด เช่น โรคมะเร็งระยะลุกลาม โรคกล้ามเนื้อหัวใจ เนื้องอกในสมองชนิดที่ไม่ใช่มะเร็ง และการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องใช้ยาสลบหรือการบล็อกเฉพาะส่วน เช่น บล็อกหลัง บล็อกแขน บล็อกขา สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและตรวจสอบรายชื่อโรคได้ที่คู่มือแนะนำ Copayment ของสมาคมประกันชีวิตไทย
หากคุณมีกรมธรรม์ประกันสุขภาพที่มีผลคุ้มครองก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2568 และต่ออายุอย่างต่อเนื่อง จะไม่เข้าเงื่อนไข Copayment
เงื่อนไข Copayment มีผลบังคับใช้เฉพาะกับการรักษาแบบผู้ป่วยใน (IPD) เท่านั้น
คุณสามารถตรวจสอบรายละเอียดได้จากกรมธรรม์ หรือสอบถามโดยตรงกับตัวแทนและบริษัทประกันภัยที่คุณทำสัญญาไว้ โดยทั่วไป บริษัทประกันภัยจะส่งหนังสือแจ้งล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 15 วันก่อนครบกำหนดชำระเบี้ย
เงื่อนไข Copayment อาจมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์การเคลมของแต่ละบุคคล โดยบริษัทประกันภัยจะพิจารณาการเคลมทุกรอบปีกรมธรรม์
หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางแผนและเลือกประกันสุขภาพที่เหมาะสม เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ ตลอดจนการวางแผนการเงินที่ครอบคลุมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ สามารถติดต่อเพื่อรับคำปรึกษาจากนักวางแผนการเงินคุณวุฒิวิชาชีพ CFP® ได้ที่ Money Adwise เรามีทีมที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุนประสบการณ์สูง พร้อมให้คำแนะนำด้านการเงินอย่างรอบด้าน ลงทะเบียนรับคำปรึกษาครั้งแรก ไม่มีค่าใช้จ่าย
ข้อมูลอ้างอิง: